Monday, November 14, 2011

นิทานเซนแม่น้ำกับก้อนเมฆ

นิทานเซนแม่น้ำกับก้อนเมฆ
เรื่อง : ท่านติช นัท ฮันห์  


        าลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่น้ำอันแสนงดงามไหลล่องผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า เธอกำเนิดมาจากสายน้ำเล็กๆที่แสนเบิกบาน ยามที่เธอไหลลงจากยอดเขา สายน้ำนั้นเต้นรำและร้องเพลงไปกับเธอ เมื่อไหลลงมาสู่พื้นราบ การเดินทางของเธอก็ค่อยๆ ช้าลง และเริ่มคิดคำนึงถึงมหาสมุทรอันแสนกว้างใหญ่ เมื่อกาลเวลาผ่านไป เธอเติบโตขึ้นเป็นแม่น้ำที่สวยงาม ไหลลัดเลาะไปตามภูเขาและทุ่งหญ้าอย่างสง่างาม
            วันหนึ่งแม่น้ำสังเกตเห็นเงาสะท้อนของก้อนเมฆในตัวเธอ ก้อนเมฆเหล่านั้นมีรูปทรงและสีสันอันหลากหลาย เธอไล่ตามก้อนเมฆเหล่านั้นไป หวังจะได้ครอบครองก้อนเมฆสักก้อนหนึ่ง หากแต่ความเป็นจริงก้อนเมฆนั้นลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้าอันแสนไกล และเปลี่ยนรูปร่างไปมาอยู่ตลอดเวลา บางทีก็เป็นรูปเสื้อโค้ต บางทีก็เป็นรูปม้า และด้วยความเปลี่ยนแปลงนั้นเองที่ทำให้แม่น้ำเป็นทุกข์อย่างยิ่ง กลับกลายเป็นว่าความสุขความเบิกบานของเธอคือ การวิ่งไล่ตามก้อนเมฆก้อนแล้วก้อนเล่า ในขณะเดียวกันนั้นความสิ้นหวัง ความโกรธและความเกลียดชังก็ค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของเธอ
            แล้ว วันหนึ่งเกิดมีลมแรงพัดพาเอาก้อนเมฆทั้งหมดหายไปจากฟากฟ้า ท้องฟ้าพลันว่างเปล่า เมื่อไม่มีก้อนเมฆให้แม่น้ำวิ่งไล่ตาม ชีวิตก็ช่างดูไร้ค่าเกินกว่าที่จะเธออยู่ต่อไป เธออยากตายและรำพึงกับตัวเองว่า "ฉันจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม ในเมื่อไม่มีก้อนเมฆเหล่านั้น" จึงเกิดคำถามกับตนเองว่าแม่น้ำจะคร่าชีวิตตัวเองได้อย่างไร
            ใน คืนนั้นแม่น้ำได้มีโอกาสกลับมาใคร่ครวญอยู่กับตัวเองเป็นครั้งแรก เธอพบว่าที่ผ่านมาเธอมัวแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่อยู่ภายนอกโดยที่เธอไม่เคยย้อน กลับมามองดูตัวเองเลย และคืนนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง เสียงน้ำที่กระทบกับสายน้ำใหญ่ เธอได้ค้นพบบางสิ่งที่สำคัญเมื่อเธอสามารถฟังเสียงภายในตัวเอง เธอพบว่าสิ่งที่เธอเฝ้าตามหามาตลอดนั้นอยู่ในตัวเธอเอง ก้อนเมฆและน้ำนั้นเป็นดั่งกันและกัน ก้อนเมฆกำเนิดมาจากน้ำ และสุดท้ายก้อนเมฆก็กลายเป็นน้ำ ตัวเธอเองก็คือน้ำเช่นกัน
            เช้า วันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ส่องฉายไปทั่วท้องฟ้า แม่น้ำได้พบบางสิ่งที่สวยงามเป็นครั้งแรก ซึ่งเธอไม่เคยสังเกตเห็นท้องฟ้าสีครามมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมัวแต่สนใจก้อนเมฆ โดยไม่เคยมองท้องฟ้าที่เป็นบ้านของก้อนเมฆเลย ก้อนเมฆนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ท้องฟ้านี่สิมั่นคง เธอตระหนักได้ว่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั้นอยู่ในใจเธอมาตั้งแต่แรกเริ่ม ปัญญาหรือความรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่นี้นำความสุขสงบมาสู่แม่น้ำ เมื่อใดก็ตามที่เธอมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่งดงาม เธอจะรู้ว่าความสงบศานติและความมั่นคงนั้นอยู่กับเธอเสมอ

            และในบ่ายวันนั้นก้อนเมฆก็ปรากฏขึ้นอีก ครั้ง แต่ครั้งนี้แม่น้ำไม่ได้อยากครอบครองก้อนเมฆอีกแล้ว เธอกลับมองเห็นเพียงความสวยงามของก้อนเมฆแต่ละก้อน และยินดีกับการมีอยู่ของก้อนเมฆ เมื่อก้อนเมฆมาเยี่ยมเยือนท้องฟ้า เธอต้อนรับด้วยความรักความเมตตา และเมื่อก้อนเมฆจากไป เธอก็โบกมือลาด้วยความสุขและความรักความเมตตาเช่นเดียวกัน เพราะแม่น้ำรู้ว่าก้อนเมฆเหล่านั้นก็คือเธอ เธอไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างตัวเธอกับก้อนเมฆ ความสงบและความกลมกลืนกันนั้นมีอยู่ระหว่างเธอและก้อนเมฆ
            เย็น วันนั้น เมื่อแม่น้ำเปิดใจกว้างอย่างเต็มเปี่ยมให้กับท้องฟ้ายามเย็น สิ่งสวยงามก็เกิดขึ้น เธอได้พบภาพสะท้อนของพระจันทร์เต็มดวงที่สวยงาม กลมโตดั่งเพชรที่อาบฉายลงในตัวเธอ เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะสามารถสะท้อนภาพที่งดงามเช่นนั้นได้ ดังเช่นบทกวีของจีนที่กล่าวไว้ว่า “ดวงจันทร์ที่แสนสวยงามสดชื่น เดินทางท่องเที่ยวไปในท้องฟ้ากว้างไกล เมื่อจิตใจอันกว้างใหญ่ดั่งแม่น้ำของสรรพสิ่งเป็นอิสระ เมื่อนั้นภาพสะท้อนของดวงจันทร์อันสวยงามจะฉาดฉายในตัวเรา” จิตใจของแม่น้ำในขณะนั้นเป็นเช่นนี้เอง เธอได้สะท้อนภาพของพระจันทร์ที่สวยงามในใจเธอ ในขณะนั้น น้ำ ก้อนเมฆ และพระจันทร์กำลังจับมือกันฝึกเดินสมาธิอย่างช้าๆ ไปสู่มหาสมุทร 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
...
ไม่มีสิ่งใดให้วิ่งไล่ตาม
เราเพียงแค่กลับมาอยู่กับตัวเอง
เบิกบานกับลมหายใจ
รอยยิ้ม ตัวของเรา
และสิ่งแวดล้อมที่สวยงามรอบตัวเรา
... 
กิ่งธรรมจาก http://www.thaiplumvillage.org
                   http://allspirit.co.uk/riverclouds.html
แปลโดย : จิตรารัศมิ์

No comments: