Friday, March 30, 2012

Which Happiness do you want?

Dhamma for all. 

Which Happiness do you want? 
  By Buddhadasa Bhikkhu  
 
 

             Here's one example of how the ambiguity of this word can cause problems. It's likely that you came here to study and practice Dhamma in search of happiness. Your understanding of happiness, the happiness you desire, however, may not be the same happiness that is the genuine goal of Buddhism and the practice of Dhamma. If the sukha (happiness) that you desire is not the sukha that arises from Dhamma practice, then we're afraid that you'll be disappointed or even heartbroken here. It's necessary to develop some understanding of this matter.In order to save time and make it easy for you to understand, let's set down a simple principle for understanding of happiness. The usual happiness that common people are interested in is when a particular hunger or want is satisfied. This is the typical understanding of happiness. In the Dhamma sense, however, happiness is when there is no hunger or want at all, when we're completely free of all hunger, desire, and want. Help to sort this out right at this point by paying careful attention to the following distinction: happiness because hunger is satisfied and happiness due to no hunger at all. Can you see the difference? Can you feel the distinction between the happiness of hunger and the happiness of no hunger?

          Let's take the opportunity now to understand the words 'lokiya' and 'lokuttara', as they are relevant to the matter we're investigating today. Lokiya means 'proceeding according to worldly matters and concerns'. Lokiya is to be in the world, caught within the world, under the power and influence of the world. Common translations are 'worldly' and 'mundane'. Lokuttara means 'to be above the world'. It is beyond the power and influence of the world. It can be translated 'transcendent' or 'supramundane'. Now we can more easily compare the two kinds of happiness: lokiya-sukha (worldly happiness) which is trapped under the power of , governed by the conditions and limitations of, what we call 'the world', and lokuttara sukha (transcendent happiness), which is beyond all influence of the world. See this distinction and understand the meaning of these two words as clearly as possible.
 
     
  We must look at these more closely. Lokiya means 'stuck in the world, dragged along by the world', so that worldly power and influence dominate. In this state there is no spiritual freedom; it's the absence of spiritual independence. Lokuttara means 'unstuck, released from the world'. It is spiritual freedom. Thus, there are two kinds of happiness; happiness that is not free and happiness that is independent, the happiness of slavery and the happiness of freedom.
          This is the point that we're afraid you'll misunderstand. It you've come here looking for lokiya-sukha, but you study Buddhism which offers the opposite kind of happiness, you're going to be disappointed. You won't find what you desire. The practice of Dhamma, including a wise meditation practice, leads to lokuttara-sukha and not to worldly happiness. We must make this point clear from the very beginning. If you understand the difference between these two kinds of sukha, however, you'll understand the purpose of Suan Mokkh and won't be disappointed here.


        By now you ought to understand the difference between the two kinds of happiness; the happiness that comes from getting what we hunger for and the happiness of the total absence of hunger. How different are they? Investigate the matter and you will see these things for yourself. The happiness of 'hunger satisfied' and the happiness of 'no hunger': we can not define them more succinctly or clearly than this.
******* 
The best way from http://www.suanmokkh.org/

Wednesday, March 28, 2012

เจ้าชายแห่งสันติภาพ

เจ้าชายแห่งสันติภาพ
ธรรมบรรยาย โดยท่านติช นัท ฮันห์


       สวัสดี ยามบ่ายสังฆะที่รัก การได้มาอยู่รวมกันเป็นสังฆะ ได้นั่งและหายใจร่วมกันเป็นสิ่งที่วิเศษ วันนี้เป็นวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2552 พวกเราอยู่ในงานภาวนาฤดูหนาวที่วัดล่าง (Lower Hamlet) หมู่บ้านพลัม ชื่องานภาวนาครั้งนี้ชื่อ "The art of happiness" ซึ่งในช่วงท้าย ฉันจะกล่าวถึงความเป็นมาของมนตราข้อใหม่ "เวลานี้ที่เป็นสุข"

     เจ้าชายน้อย และ ภาพแห่งสันติ
     ฉัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าชายน้อย เจ้าชายน้อยอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่ง บนดาวดวงนั้นมีต้นกุหลาบที่มีดอกชูช่องดงามอยู่หนึ่งต้น เนื่องจากดาวเคราะห์นั้นมีขนาดเล็กมาก เจ้าชายน้อยจึงได้มีความสุขกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินในทุกๆ 3 ชั่วโมง วันหนึ่ง เขาอยากมีสัตว์ที่สุภาพและรักสงบมาอยู่เป็นเพื่อนเขาบนดาวเคราะห์ดวงนี้ เขาคิดถึงแกะ เพราะมันดูเป็นสัตว์ที่รักสงบมาก ดังนั้นเขาจึงมาที่โลกและขอให้ชายคนแรกที่พบช่วยวาดรูปแกะให้เขา นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ แกะที่จะอยู่กับเขาบนดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ ที่สวยงาม เจ้าชายน้อยนั้นรู้คำสอนของพระพุทธองค์ที่เกี่ยวกับจิตใจ จิตใจคือจิตรกรที่สามารถวาดภาพสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งทั่วทั้งจักรวาลได้ ดังนั้นเขาจึงขอร้องสุภาพบุรุษคนแรกที่เขาพบบนโลกช่วยวาดรูปแกะให้ และชายผู้นั้นชื่อ อังตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี หลังจากพยายามวาดภาพ 2-3 ครั้ง เขาก็สามารถวาดรูปแกะให้เจ้าชายน้อยได้สำเร็จ เจ้าชายน้อยพอใจมากและเดินทางกลับไปยังดาวเคราะห์ของเขา
     เรา หวังว่าเจ้าชายน้อยจะมีความสุขกับแกะและกุหลาบของเขา สัตว์และพืชพรรณในโลกของเรา ได้สูญหายไปมากมาย ฉันไม่รู้ว่าเราควรวาดพวกมันและนำกลับมาหรือไม่ เราเป็นผู้ที่ทำลายโลกของเราเอง สายพันธุ์มากมายได้สาบสูญไปแล้ว สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในขณะนี้คือสันติภาพ เราจำเป็นต้องนำสันติภาพกลับมา โลกที่อยู่ภายในและภายนอกตัวเรานั้นมีความรุนแรง ความขัดแย้ง และการทำลายล้างมากเกินไป เราต้องการสันติภาพเป็นอย่างยิ่ง ใครคือคนที่เราสามารถเรียกร้องให้นำสันติภาพกลับมา ใครกันที่จะวาดสันติภาพเพื่อนำสันติสุขมาสู่ชีวิต หัวใจและสิ่งแวดล้อมของเรา ถ้าเธอได้ศึกษาพุทธศาสนา เธอจะรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร คนที่สามารถนำสันติภาพกลับสู่เธอและโลกได้ นั่นก็คือตัวเธอเอง เธอมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นพระพุทธองค์ที่เปี่ยมไปด้วยสันติภาพ ปัญญาและความเมตตากรุณา เธอมีพุทธะน้อยๆ ในตัวเธอ เธอต้องปล่อยให้เจ้าชายแห่งสันติภาพกำเนิดขึ้นในหัวใจเธอ สันติภาพจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
     พระ พุทธองค์เป็นผู้สร้างสังฆะที่ยอดเยี่ยม พระองค์ประสงค์ที่จะหาเพื่อนร่วมทางที่ช่วยกันนำสันติภาพกลับมา การสร้างสังฆะเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการสร้างสันติภาพ ด้วยสังฆะการสร้างสันติภาพก็จะง่ายขึ้น สังฆะคือชุมชนของกลุ่มคนที่อุทิศตนเพื่อสร้างสันติภาพทั้งภายในและภายนอก สิ่งที่พวกเขาทำในแต่ละวันเป็นไปเพื่อสร้างสันติภาพในตัวเขาและผู้คนรอบข้าง พวกเขารู้วิธีสร้างพลังแห่งสันติภาพ ด้วยการหายใจอย่างมีสติ เดินอย่างมีสติ ทำอาหารอย่างมีสติ และทำสวนอย่างมีสติ พวกเขารู้ว่าในขณะที่เดินและหายใจอย่างมีสติ พวกเขาได้นำใจของเขากลับมาอยู่กับกาย เมื่อเขาอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างเต็มที่ เขาจะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น หากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นช่วยหล่อเลี้ยงและเยียวยา พวกเขาจะยอมรับการเยียวยาและหล่อเลี้ยง ถ้าพวกเขารู้สึกเจ็บปวดทุกข์ใจ พวกเขาจะปล่อยให้สติโอบกอดอารมณ์นั้นเพื่อที่จะคลายความเจ็บปวดและนำสันติ สุขกลับมาสู่กาย สู่อารมณ์ความรู้สึกของเขา พวกเขาสร้างพลังแห่งสติเพื่อที่จะตระหนักรู้และโอบกอดสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะ นั้น และเพื่อที่จะหล่อเลี้ยง เยียวยาและแปรเปลี่ยน พวกเขาสร้างพลังแห่งสมาธิเพื่อที่จะอยู่ที่นั่นอย่างแท้จริง เพื่อที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะอย่างลึกซึ้ง และเพื่อที่จะสัมผัสความมหัศจรรย์ของการหล่อเลี้ยงและการเยียวยาได้อย่างแท้ จริง
     พวก เขารู้ว่าถ้าพวกเขามีสมาธิเพียงพอ มหัศจรรย์แห่งชีวิตจะเผยตัวขึ้น ดินแดนบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ก็จะปรากฎ อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าก็จะบังเกิดขึ้นที่นั่นในขณะนั้น พวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถสร้างพลังแห่งสติและสมาธ ิซึ่งเป็นพลังที่จะทำให้คนธรรมดากลายเป็นนักบุญได้ พวกเขารู้วิธีสร้างพลังแห่งปัญญา พวกเขาจึงไม่กลัวสิ่งใด พวกเขารู้วิธีที่จะผ่านพ้นความยากลำบากและช่วยเหลือผู้อื่นฝ่าฟันความยาก ลำบาก พวกเขารู้ดีว่าปัญญามาจากการฝึกสติและสมาธิ สติและสมาธิจะนำมาซึ่งปัญญา และปัญญานำมาซึ่งความเป็นอิสระและความสุข
     เมื่อ เธอหายใจอย่างมีสติและนำใจกลับมาอยู่กับกาย เธอจะตระหนักถึงชีวิตและการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ นี่คือปัญญา นี่คือการตื่นรู้ พวกเรามากมายไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มีชีวิตอยู่หรือไม่ การมีชีวิต การเดิน การนั่งบนโลกใบนี้เป็นปาฏิหาริย์ เมื่อเธอสัมผัสปาฏิหาริย์นี้ได้ ปัญญาและการตื่นรู้ก็จะบังเกิดขึ้น ปัญญาและการตื่นรู้จะนำรอยยิ้มและความสุขมาสู่เธอ เธอได้สัมผัสปาฏิหาริย์แห่งการมีชีวิตแล้ว ปัญญารู้แจ้งและการตื่นรู้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกล เธอสามารถมีได้ในที่นี่ ณ ขณะนี้ด้วยพลังแห่งสติ ที่ใดมีสติ ที่นั่นมีสมาธิและปัญญา นั่นคือเหตุผลว่าในขณะที่เราทำอาหาร ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ เราจึงควรบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งสติ เพื่อที่จะเยียวยาและนำความสุขมาสู่ชีวิตในแต่ละวันของเราได้ ในขณะที่เธอเดิน หากเธอมีสติในแต่ละย่างก้าว เธอจะรู้ว่าการมีชีวิตและการเดินบนโลกใบนี้เป็นสิ่งแสนวิเศษ แต่ละย่างก้าวจะนำความเบิกบาน ความสุขมาสู่เธอ ทุกย่างก้าวเป็นการเฉลิมฉลองชีวิต การเดินในวัดบน (Upper Hamlet) วัดล่าง (Lower Hamlet) และวัดใหม่ (New Hamlet) เป็นการเดินในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ดินแดนบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์


      เราทุกคนคือผู้สร้างสันติภาพ
      การหายใจเข้าออกแต่ละครั้งเป็นโอกาสในการ รู้แจ้ง การเดินแต่ละก้าวก็เป็นโอกาสในการรู้แจ้ง การรู้แจ้งเป็นสิ่งที่เกิดได้ในทุกขณะ สติและสมาธิจะนำมาซึ่งปัญญา นี่คือหัวใจของการฝึกปฏิบัติของชาวพุทธ พวกเราทุกคนสามารถดื่มชาอย่างมีสติ เธอสามารถดื่มน้ำชาดังเช่นที่พระพุทธองค์ได้ทรงกระทำ พวกเราทุกคนสามารถแปรงฟันอย่างมีสติ เบิกบานกับช่วงเวลาในการแปรงฟัน เราสามารถแปรงฟันอย่างที่พระพุทธองค์ได้ทรงกระทำ ในอดีตพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงใช้แปรงสีฟันอย่างที่เราใช้ พระองค์ทรงใช้ไม้สะเดา พระพุทธองค์และสาวกใช้กิ่งไม้สะเดาในการทำความสะอาดฟัน พระพุทธองค์และสาวกเป็นผู้ปฏิบัติธรรม พวกท่านมีความสุขในการแปรงฟัน สำหรับพวกเราที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ทุกขณะเวลาคือโอกาสในการหล่อเลี้ยงสติและสมาธิเพื่อนำมาซึ่งปัญญาแห่งการ หล่อเลี้ยง เยียวยาและการหลุดพ้น เพราะปัญญามีกำลังที่จะปลดปล่อยเราให้พ้นจากกิเลส ความกลัว และความสิ้นหวังได้
     เรามีพลังอำนาจในการวาด สร้าง และทำให้เกิดสันติภาพขึ้นได้ เมื่อเรากลับมาสู่กายและพบความตึงเครียดและความเจ็บปวดอยู่ในกายของเรา สิ่งที่เราต้องการคือการผ่อนคลายด้วยการหายใจอย่างมีสติ ในพระสูตรอาณาปาณสติ พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเราถึงวิธีผ่อนคลายความตึงเครียดและความเจ็บปวดของร่าง กาย ด้วยการหายใจ

หายใจเข้า ฉันรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งร่างกาย
หายใจออก ฉันรู้ว่ามีความตึงเครียดและความเจ็บปวดในกายของฉัน
หายใจเข้า ฉันยิ้มให้กับความตึงเครียดและความเจ็บปวด
หายใจออก ฉันจะปลดปล่อยความตึงเครียดและความเจ็บปวด
     ในขณะที่เธอหายใจเข้าและหายใจออก เธอได้นำสันติภาพมาสู่กายของเธอ แต่ละครั้งที่เธอหายใจและตระหนักถึงความรู้สึก อารมณ์ และความเจ็บปวดที่อยู่ในตัวเธอ เธอได้สร้างพลังแห่งสติและสมาธิขึ้น สติและสมาธินั้นจะตระหนักรู้และปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่เจ็บปวดนั้น "ความปวดร้าวเศร้าโศกของฉัน ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น ฉันจะดูแลเธอเป็นอย่างดี" เราไม่จำเป็นต้องผลักไส กดทับหรือปกปิดอารมณ์นั้นเอาไว้ ยิ้มน้อยๆ ใช้พลังแห่งสติตระหนักรู้ถึงเขา โอบกอดเขาเหมือนดั่งมารดาโอบกอดลูกน้อยยามที่ลูกมีความทุกข์ ด้วยการหายใจอย่างมีสติและการเดินอย่างมีสติ ความเจ็บปวดของเธอ ความเศร้าโศกของเธอจะได้รับการโอบกอดและการปลดปล่อย เธอได้นำสันติภาพมาสู่ความรู้สึกและอารมณ์ของเธอ ด้วยการปฏิบัติที่พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายในพระสูตรอาณาปาณสติ เราได้เรียนรู้วิธีการดูแลกาย ความรู้สึก และอารมณ์ของเราแล้ว
      ความทุกข์ของเรานั้นเกิดจากความคิดเห็นที่ ผิด ความโกรธ ความกลัว ความสิ้นหวัง ความริษยาเกิดมาจากความคิดเห็นที่ผิด เมื่อเราโอบกอดความกลัว ความโกรธและความสิ้นหวังของเราอย่างลึกซึ้ง เธอจะสามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงความคิดเห็นที่ผิดที่ดำรงอยู่ลึกภายใต้จิตใจ ของเรา ถ้าเรารู้วิธีปลดปล่อยความคิดเห็นที่ผิด ความโกรธและความเจ็บปวดจะจางหายไป เรานั่งสมาธิภาวนาเพื่อที่จะดูแลความคิดเห็นของเรา เพราะความคิดเห็นและความตั้งใจที่ผิดนี่เองที่ทำให้เราและคนรอบข้างประสบ อยู่ในวังวนแห่งความทุกข์
     อาณาปาณสติสูตรจะสามารถช่วยเราดูแลกาย ความรู้สึกและการรับรู้ของเราได้ เมื่อพวกเรามาอยู่รวมกันเป็นชุมชนและปฏิบัติตามคำสอนด้วยการนั่งร่วมกัน เพื่อสงบกาย ใจ และความรู้สึก เรากำลังสร้างพลังแห่งสันติภาพส่วนรวม คนจำนวน ๓๐๐ หรือ ๕๐๐ คนที่นั่งหายใจอย่างสงบและมีสติกันกำลังสร้างพลังส่วนรวมของสันติภาพและความ เป็นพี่น้องกัน ถ้าเธอเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น เธอจะได้รับพลังนั้นด้วย พลังนั้นจะแทรกซึมเข้าสู่กายและช่วยผ่อนคลายเธอจากความตึงเครียด แทรกซึมเข้าสู่ใจและผ่อนคลายเธอจากความปวดร้าวเศร้าโศก ในขณะที่เธอสวดมนต์ เธอได้ปล่อยให้สติสัมผัสเมล็ดพันธุ์แห่งเมตตากรุณาที่อยู่ในตัวเธอ พระอวโลติเกศวรเป็นพระโพธิสัตว์แห่งการรับฟังอย่างลึกซึ้ง เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา เรารู้ว่าในตัวของเรามีเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตากรุณาอยู่ เรามีความสามารถที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้
     ใน ขณะที่สวดมนต์หรือฟังเสียงสวดมนต์ เมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตากรุณาได้รับการรดน้ำ และพลังแห่งความเมตตากรุณาก็จะปรากฏขึ้น นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมการสวดมนต์ร่วมกับผู้ฝึกปฏิบัติจึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ทำไมการได้ฟังเสียงสวดมนต์จึงทำให้เรารู้สึกมหัศจรรย์ การมีสติในขณะรับฟังเสียงสวดมนต์ทำให้เราดำรงอยู่ในที่นี่และขณะนี้อย่างแท้ จริง กายของเราได้ซึมซับพลังแห่งสติและความเมตตากรุณาส่วนรวม การนั่งร่วมกันเป็นสังฆะเช่นนี้เป็นการเยียวยาอย่างยิ่ง และนี่คืออาหารของเราในแต่ละวัน ทุกๆ วัน เรานั่งร่วมกันในสังฆะ เดินร่วมกันในสังฆะ รับประทานอาหารร่วมกัน ทำงานร่วมกันในสวน ในครัวและหอปฏิบัติธรรม เมื่อเราทำสิ่งต่างๆ อย่างมีสติ พลังแห่งสติ สมาธิ และปัญญาจะถูกสร้างขึ้นและหล่อเลี้ยงเราอย่างต่อเนื่อง เราทุกคนเป็นผู้สร้างสันติภาพ ฉันขอให้เราช่วยกันวาดภาพแห่งสันติภาพและความสุขด้วยใจของเรา เราสามารถช่วยตัวเองและโลกของเราด้วยใจของเรา เราสามารถสร้างสันติสุขขึ้นได้

  ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ
     มนตราข้อแรก คือ "ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" เธอสามารถฝึกมนตราข้อนี้ในภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน เวียดนาม หรือภาษาใดก็ได้ การฝึกนั้นแสนง่าย "ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" เมื่อเธอรักใครบางคน สิ่งล้ำค่าที่สุดที่เธอสามารถมอบให้เขาได้คือการดำรงอยู่ของเธอ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ในท้องตลาด เธอจะรักใครได้อย่างไรถ้าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่น เธอต้องอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะรักและมอบการดำรงอยู่ของเธอให้เขา การดำรงอยู่ที่เปี่ยมไปด้วยความสดชื่น ความรักและความเมตตากรุณา เธอจะมีความสดชื่น ความรัก และความเมตตากรุณาได้ด้วยการฝึกสติ สติจะหล่อเลี้ยงเธอ ความสงบและความผ่อนคลายจะเติมความสดชื่นให้กับเธอ การดำรงอยู่ของเธอคือของขวัญสำหรับเขา สิ่งที่เธอต้องทำคือการหายใจอย่างมีสติเข้าและออก 2-3 ครั้ง เพื่อนำความสดชื่นและรอยยิ้มกลับมา เมื่อเธอพบเขาและกล่าวมนตราข้อแรก "ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" นั่นคือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่เธอสามารถมอบให้แก่คนที่เธอรัก
       เธอ อาจฝึกปฏิบัติมนตรานี้ด้วยโทรศัพท์มือถือก็ได้ เขาอยู่ในที่ทำงานและเธอต้องการฝึกมนตราข้อนี้ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หายใจเข้าและหายใจออก คิดถึงเขา ยิ้ม และส่งพลังแห่งความรัก ความเมตตากรุณาและความเป็นพี่น้องไปให้เขา เธอกดหมายเลขโทรศัพท์ และเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกสาย เธอยิ้มอย่างมีสติ เธอรู้ว่าผู้รับสายกำลังฟังเสียงโทรศัพท์ ถ้าเธอคุ้นเคยกับการฝึกสมาธิด้วยโทรศัพท์ เธอจะรู้ว่าเธอทั้งคู่กำลังหายใจเข้าและออกอย่างมีสติในขณะที่เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น ขอให้เธอฝึกสมาธิจากการใช้โทรศัพท์ หากเธอฝึกได้ดี มันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก ก่อนที่เธอจะโทรศัพท์ ขอให้ถือโทรศัพท์ไว้และหายใจเข้า คิดถึงผู้ที่เธอจะโทรหา หายใจออก ยิ้ม พร้อมกับตั้งปฏิญาณว่าเธอจะพูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน มีบทกวีบทหนึ่งที่เธอควรท่องไว้ เธอสามารถท่องในขณะที่หายใจเข้าและออก เป็นบทกลอนที่เก่าแก่ดั้งเดิม "ถ้อยคำสามารถเดินทางไปได้แสนไกล ขอให้คำพูดของฉันสรรค์สร้างความรักและความเข้าใจ ฉันตั้งปณิธานที่จะพูดด้วยถ้อยคำที่งดงามดังดอกไม้"
     เธอ เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ขอจงใช้การโทรศัพท์เป็นส่วนหนึ่งในการฝึกปฏิบัติ ถือโทรศัพท์ หายใจ ยิ้ม และท่องบทกวี หากมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามา ถ้าเธอเป็นผู้ใช้โทรศัพท์อย่างมีสติ เธอจะไม่รับโทรศัพท์ในทันที เธอจะปล่อยให้เสียงเรียกดังสัก 1 หรือ 2 ครั้ง และในขณะที่ฟังเสียง เธอจะหายใจเข้าและออกเพื่อสงบกายและใจ ถ้าเธอไม่ใช่ผู้ฝึกปฏิบัติ เธอจะรับโทรศัพท์ในทันทีเพราะอยากรู้ว่าใครโทรมา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย แต่ถ้าเธอเป็นผู้ฝึกปฏิบัติ เธอไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เธอปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังอีกครั้งหนึ่ง เบิกบานกับการฟังเสียงโทรศัพท์เช่นเดียวกับการฟังเสียงระฆัง "ฟังซิ ฉันฟังเสียงมหัศจรรย์นี้ นำฉันกลับสู่บ้านที่แท้จริง" ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้ฟังเสียงโทรศัพท์ เธอปล่อยให้ดังอีกครั้งหนึ่งเพื่อสงบจิตใจลง ถ้าเป็นเรื่องสำคัญหรือเร่งด่วน คนโทรมาก็คงจะคอยได้ และเมื่อรับโทรศัพท์แล้ว เธอรู้ว่าทั้งผู้โทรและผู้รับกำลังยิ้มและหายใจอย่างมีสติ การสนทนาก็จะมีความสงบ พวกเธอทั้งคู่รู้วิธีหายใจเข้าและออกและการใช้วาจาแห่งความรัก ถ้าพวกเราที่อยู่ในเมืองหลวงฝึกใช้โทรศัพท์อย่างมีสติเช่นนี้ เมืองหลวงของเธอก็จะมีสันติภาพ คุณภาพของความสุขก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นเธอจึงสามารถใช้โทรศัพท์ในการฝึกมนตราข้อแรกเพื่อสร้างสรรค์สันติภาพ ให้เกิดขึ้นได้

     มนตราแห่งรักและสันติ
     มนตราข้อที่สอง คือ "ที่รัก ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นั่นและฉันมีความสุขมาก" มนตราข้อแรกกล่าวว่า "ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" ฉันรู้ว่าของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันสามารถให้เธอได้คือการอยู่กับเธอ ในการปฏิบัติมนตราข้อแรก เธอจะต้องอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้จริงๆ มิฉะนั้น มนตรานี้จะไม่ได้ผล เธอต้องอยู่ที่นี่อย่างแท้จริง กายและใจรวมเป็นหนึ่ง เธอต้องตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้มนตรานี้เป็นมนตราที่นำความสุขมาให้เธอและคนที่เธอรัก "ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" มนตราข้อแรกมีจุดประสงค์เพื่อให้เธอดำรงอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ส่วนมนตราข้อที่สอง "ที่รัก ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นั่นและฉันมีความสุขมาก" มีจุดประสงค์เพื่อให้เธอตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของผู้อื่น ถ้าเธออยู่ที่นั่นจริง เธอจะสามารถรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของผู้อื่น การที่เรารักใครบางคนหมายถึงการรับรู้ถึงการคงอยู่ของเขา ดังนั้นถ้าเธอฝึกมนตราข้อแรกไม่สำเร็จ เธอก็ไม่สามารถฝึกมนตราข้อที่สองให้สำเร็จได้ ต่อเมื่อเธอดำรงอยู่ในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง เธอจึงจะสามารถตระหนักถึงการดำรงอยู่ในปัจจุบันของผู้อื่นได้ พลังแห่งสติช่วยให้เธอดำรงอยู่อย่างแท้จริงและมีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม พลังแห่งสติ สมาธิและปัญญาเป็นพลังที่เธอใช้ในการรับรู้การดำรงอยู่ของเขา เธอโอบกอดเขาด้วยพลังแห่งสติ สมาธิและปัญญาที่มาจากการฝึกปฏิบัติของเธอ การรู้ว่าคนที่เธอรักนั้นมีชีวิตอยู่ ถือเป็นปัญญาอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามคือความหลงลืม เธออาจเคยหลงลืมเขา ไม่ได้ทะนุถนอมหรือสนใจการดำรงอยู่ของเขา แต่เมื่อเธอฝึกปฏิบัติจนมีสติ สมาธิและปัญญา เธอจะมีความสุข และผู้ที่ได้รับการโอบกอดโดยแหล่งพลังนี้จะเบ่งบานเหมือนดอกไม้ เขารู้ว่าเขาเป็นที่รักและการคงอยู่ของเขาได้รับการรับรู้ และแน่นอน เธอสามารถฝึกปฏิบัติมนตรานี้ผ่านทางอีเมล์ เราสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยในการฝึกมนตราได้
      มน ตราข้อที่สาม จะนำมาปฏิบัติในกรณีที่เธอรู้ว่าคนที่เธอรักตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เธอมีสติ เธอจึงรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอและคนที่เธอรัก เธอห่วงใยเขา เธอจึงสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เธอจึงกล่าว มนตราข้อที่สาม "ที่รัก ฉันรู้ว่าเธอมีความทุกข์ และนี่คือเหตุผลที่ฉันอยู่ที่นี่" และเช่นเดียวกัน เธอสามารถฝึกมนตรานี้ด้วยโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ ระยะทางไม่ใช่ปัญหา หากเธออยู่ที่นั่นจริงๆ เธอจะสามารถตระหนักถึงความเจ็บปวดและเศร้าโศกของเขาได้ ก่อนที่เธอจะลงมือทำสิ่งใดเพื่อคลายความทุกข์ของเขา ความทุกข์ของเขาก็ได้บรรเทาลงแล้ว เพราะเขารู้ว่าเธออยู่ที่นั่นเพื่อเขา เขารู้ว่าเธอรับรู้ได้ถึงความยากลำบากที่เขาจะต้องผ่านพ้น และนี่คือการฝึกสติ สมาธิและปัญญา นี่คือการฝึกปฏิบัติแห่งความรัก
     มนตราข้อที่สี่นั้นฝึกปฏิบัติยากกว่าเล็กน้อย แต่เธอจำเป็นต้องรู้ไว้ หากเธอมีความทุกข์และเชื่อว่าความทุกข์นั้นมีสาเหตุมาจากคนที่เธอรักและ เชื่อใจอย่างที่สุด นี่คือสภาวะที่ยากลำบาก ถ้าคนที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ไม่ใช่คนที่เธอรัก เธอคงเป็นทุกข์น้อยกว่านี้ แต่นี่คือคนที่เธอเชื่อใจมากที่สุด คนที่เธอรักมากที่สุด เขาได้พูดและทำเช่นนั้นกับเธอ เธอจึงช้ำใจมาก ปฏิกิริยาตามธรรมชาติของเธอคือการแยกตัวออกมา เธอต้องการอยู่กับความทุกข์คนเดียว เธอต้องการแสดงให้เขาเห็นว่าเธอสามารถอยู่รอดได้โดยไม่มีเขา นี่คือนิสัยแห่งการลงโทษ แม้ว่าเธอจะเจ็บปวดรวดร้าว แต่เธอต้องการลงโทษ เธอทำได้ทุกอย่างยกเว้นการกลับไปหาเขา ถามว่าทำไม เพราะเธอเจ็บลึก แต่มนตราข้อนี้แนะนำให้เธอทำในสิ่งตรงกันข้าม เธอต้องไปหาเขาหรือโทรศัพท์ไปหาเขาเพื่อถามเหตุผล เธอต้องวางศักดิ์ศรีของเธอลง เพราะรักแท้ไม่มีที่ว่างสำหรับศักดิ์ศรี มนตราข้อสี่ กล่าวว่า "ที่รัก ฉันมีความทุกข์ โปรดช่วยฉันด้วย" หลังจากที่เธอกล่าวมนตรานี้ไม่นาน ความทุกข์ของเธอจะลดน้อยลง มนตรานี้มีความหมายว่า "ที่ รัก ฉันมีความทุกข์มากเหลือเกิน ฉันต้องการให้เธอรู้ ฉันไม่รู้ว่าเหตุใดเธอจึงทำเช่นนั้นหรือพูดเช่นนั้นกับฉัน ถ้าเป็นคนอื่น ฉันจะไม่ทุกข์ใจเช่นนี้ แต่นี่เป็นเธอ ฉันเป็นนักปฏิบัติ ดังนั้น ฉันจะทำอย่างดีที่สุด แต่ว่าในขณะนี้ ฉันตกอยู่ในความทุกข์ ฉันจะพยายามฝึกปฏิบัติ แต่ฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอ"
      เธออาจหาเวลาอยู่คนเดียวเพื่อมองอย่างลึก ซึ้งถึงสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อมองให้เห็นว่าความทุกข์ของเธอมาจากการรับรู้ที่ผิดหรือไม่ ก่อนที่เธอจะกล่าวหาผู้อื่น เธอต้องมองอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเธอ ไม่ได้เกิดจากความคิดเห็นที่ผิดของเธอ ถ้าเธอค้นพบ เธอจะเลิกโกรธเขา เพราะเธอรู้ว่าความคิดเห็นที่ผิดนั่นเองที่นำความทุกข์มาสู่เธอ แต่หาก 24 ชั่วโมงผ่านไป เธอยังดิ้นรนอยู่ในความทุกข์ ตามประเพณีของหมู่บ้านพลัม เธอต้องปฏิบัติมนตราข้อที่สี่ ก่อนเส้นตาย 24 ชั่วโมง "ที่รัก ฉันมีความทุกข์ โปรดช่วยฉันด้วย" ถ้าเธอไม่สามารถกล่าวกับเขาได้โดยตรง ให้เขียนจดหมายหรืออีเมล์ถึงเขา ความทุกข์ของเธอจะลดน้อยลง นี่เป็นการเชื้อเชิญให้เขามองอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่เขากระทำหรือพูดว่าทำ ให้ผู้อื่นมีความทุกข์หรือไม่ ทั้งสองคนจะฝึกปฏิบัติการมองอย่างลึกซึ้ง และนี่คือปฏิบัติการแห่งสันติภาพ
          พวก เราได้ปรับปรุงแก้ไขข้อฝึกอบรมสติ 5 ประการขึ้นใหม่ และมนตราข้อที่ห้าก็ได้เกิดขึ้นระหว่างงานภาวนานั้นเอง ถ้าเธอฝึกปฏิบัติการหายใจอย่างมีสติและกลับมาอยู่ในปัจจุบัน เธอจะตระหนักว่าเธอนั้นโชคดีมาก เธอมีเงื่อนไขแห่งความสุขมากมายเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เธอสามารถสัมผัสเงื่อนไขแห่งความสุขที่เธอมีอยู่แล้ว เธอรู้ว่าเธอไม่ต้องการเงื่อนไขแห่งความสุขเพิ่มอีก เธอมีเพียงพอแล้วที่จะมีความสุข ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ด้วยปัญญานี้ เธอจึงได้กล่าว มนตราข้อที่ห้า "เวลานี้คือเวลาที่เป็นสุข" เวลาไหนก็เป็นเวลาที่เป็นสุขได้ด้วยการฝึกสติ สมาธิและปัญญา เพราะพลังทั้งสามจะนำเราไปสัมผัสเงื่อนไขแห่งความสุข ที่มีอยู่ที่นี่และขณะนี้ เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งไปที่ไหนเพื่อที่จะมีความสุข เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งไปในอนาคตเพื่อแสวงหาความสุข พระพุทธองค์ตรัสบอกเราอย่างชัดเจนว่าความสุขมีได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ การดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขในปัจจุบัน คือคำสอนพื้นฐานที่เราพึงฝึกปฏิบัติ
       ใน ทุกครั้งที่พวกเราได้ฝึกปฏิบัติร่วมกัน ก่อนการแบ่งปันอาหาร เราหายใจเข้าและมองไปที่สังฆะ รู้สึกถึงความโชคดีของเรา เรากล่าวในใจว่า "สังฆะที่รัก เวลานี้คือเวลาที่เป็นสุข" เราอาจฝึกปฏิบัติมนตราข้อที่ห้าในช่วงก่อนการสวดมนต์ ทำอาหารหรือทำสวนก็ได้ ที่วัดบน เราฝึกปฏิบัติมนตราข้อนี้วันละหลายๆ ครั้ง การปฏิบัตินั้นง่ายมาก ถ้าเธอรู้วิธีกลับบ้าน กลับมาอยู่ในปัจจุบัน เธอจะรู้ว่าตนเองนั้นโชคดีมาก โชคดีกว่าคนอื่นอีกหลายๆ คน เงื่อนไขแห่งความสุขของเรานั้นมีอยู่มากมาย เพียงแค่อนุญาตให้เงื่อนไขนั้นได้รับการสัมผัสเท่านั้น
     ขณะนี้เจ้าชายสันติภาพได้บังเกิดขึ้นแล้ว เจ้าชายสันติภาพสามารถบังเกิดได้ในทุกขณะที่ฝึกสติ สมาธิ และปัญญา ...๐

*******
 เจ้าชายแห่งสันติภาพ
ธรรมบรรยายในงานภาวนา "The art of happiness"
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2552 ณ วัดล่าง (Lower Hamlet) หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส

ถอดความ : ปิยะนุช วัฒนาศิริธนวงษ์
แปลโดย : ไชยยันต์ ธนไพศาล – จิตเจษสฤษดิ์
กิ่งธรรมจาก  http://www.thaiplumvillage.org

Tuesday, March 27, 2012

The Best

Dhamma for all.                                  

  The Best


By Buddhadasa Bhikkhu


           When you arrive at this stage, you ought to be familiar with what we call "the good" or "the best". You all have idea about "the best" and think that you deserve to get and have "the best". Your hunger only goes as far as "the best..!!" Whatever you identify as "the best" - whether a day on the beach or five minutes of rest from the turmoil in your head - is where your hunger grasps. Even while basking in God's radiance, the hunger for the best doesn't stop. We desire one kind of 'the best', but as soon as we get it our hunger reaches after a better 'the best'. This has no end as long as there's self that wants 'the best'. "The best" has no end point; we can't take it as our final goal. We continuously talk about "the best" or about the summum bonum, but our meanings are so very different: the best of children, of teenagers, of adults, of old folks; the best of the world and of religion. Yet each of these visions of "The best" make us "the hungriest" - hungry in refined, profound, subtle ways. We can never stop and rest in any "the best", for they are all lokiya-sukha.
          "The best" cannot stand alone. It doesn't go anywhere without its mate "the worst". Through our grasping at "the best" we're burdened also with "the worst". Thus, our fixation on "the best" is merely self-perpetuating hunger. There's only one way out. If we keep searching for sukha in the world, we'll never find it. We must turn in the other direction, toward lokuttara-sukha. Hunger, must end, even hunger for 'the best'. Evil is one kind of busy trouble. Good is just another kind of trouble. To be free of all dukkha, the mind must be beyond good and evil, above best and worst-that is , it must dwell in voidness. This is the opposite of worldly happiness. It's the lokuttara-sukha of freedom from the self that hungers. There's no other way out of dukkha than from evil to good and then from good to voidness. In voidness hunger stops and there is true happiness.

*******
The best way http://www.suanmokkh.org

Friday, March 23, 2012

Buddhists Engaged in Social Development

 Dhamma for all

 Buddhists Engaged in Social Development
 By Phra Paisal Visalo 


Recently in Thailand, the view that Buddhism has nothing to do with society is becoming widespread. Most people think of it as having ritualistic ceremonies or as a method of dealing with personal problems. But during the past twenty years, there have appeared among the Buddhist monks a small number of men who try to confront the problems of society and among people head-on, which is causing the Thai people to change their attitudes toward Buddhism. Such monks are called “development monks,” and they are mainly active in the agricultural regions of Thailand.
The economic development that has taken place in Thailand over the past few decades has widened the difference in the level of living between cities and rural villages, bringing to the villages poverty and environmental destruction. The development monks, while integrating themselves in the village society, have begun to confront the problems of villages suffering from poverty and environmental destruction. The economic development that has taken place in Thailand is not that different from that which occurred in the other Third World countries. More attention is placed on industry than on agriculture, and, in order to reduce the spending of those involved in the industrial sector, the prices of agricultural produce were pushed way down. Thus, the life of farmers is fraught with troubles. Further, economic development was promoted in order to supply great amounts of natural resources on the market at cheap prices, with the result that once beautiful mountains and rivers have been destroyed. That is why a number of villagers have begun to question the merits of economic development.


Development monks can be divided into three groups. The first group is devoted to benevolent activities such as building facilities for orphans, hospitals for people suffering from AIDS/HIV, and other charitable works. The second group is mainly active in an economic manner—organizing cooperative society with cooperative shops in the villages, and even establishing the Water Buffalo Bank and also creating a savings cooperative (credit union) so that people will not have to take out loans at high-interest rates, and encouraging the production of traditional folk crafts. The third group is involved in environmental problems—working mainly to save and protect the forests and the rivers.
These activities of the development monks did not, at first, attract the attention of people living in the cities. Yet through the steady continuation of these activities, connections were made with NGOs both in Thailand and abroad, and their activities gradually became more widely known in the villages and cities. The activities of the Thai development monks were intimately related to those of the NGOs from the beginning. The NGOs offered support to the activities of the development monks in various ways, such as supporting the creation of networks among the development monks, and even dispatching volunteers to help support their activities.
But I feel that, among the contributions of the NGOs, what was of the utmost importance was that they provided the development monks with various analytical points of view. Whether they were involved with problems of environmental protection or ameliorating poverty, the staff of the NGOs supplied the development monks with various ways of looking at how these problems were related to the structure of society or the economy, or the development of Thailand itself.
Formerly, development monks and other Buddhist groups who became involved with social problems took part in the kind of activity that deals with the problems right before their eyes. For example, if there were children suffering from starvation, they fed them; if there were people suffering from disease, they brought them to the hospital. But if anything is going to be done at the source of environmental problems or poverty, it is necessary to understand the social structure that forms a background to individual problems. Up to that point, the activities of development monks seem to be no different than giving an aspirin to someone suffering from a headache. Through that, the pain might be reduced, but concerning the fundamental cause of the headache, it is not a sufficient approach. Concerning that, the staff of the NGOs taught them that just giving someone an aspirin is not enough.
However, the relationship between the NGOs and the development monks is not just a one-way type of providing them with something. Rather, the development monks also had a positive influence upon the NGOs. One of the things they imparted was the importance of being aware of the significance of the spiritual aspect when engaged in their activities. It was one weakness of the NGOs, who could be said to have focused too much upon political and economic problems. It might even be said that they undertook their activities upon the premise that the villagers would become happy if they could live their lives in the midst of material wealth. Now, economic development is certainly important, but through bringing the new sense of values of what might be called “consumerism” into the village society, the villagers’ peace of mind was disturbed. Yet, concerning this problem, I feel that the staff of the NGOs were not sufficiently aware of this matter. Furthermore, among the NGO workers there were many who were indifferent toward spiritual matters, for which reason, because they were so busy with their activities that they did not have the leisure to pursue spiritual matters, they themselves ceased to be able to feel happiness, and there are even cases in which confrontations broke out among the NGO workers. When that happened, the development monks were able to teach the NGO staff about the significance of attaching great importance to peace of mind while carrying out their activities. In my own experience, I believe that it is necessary for Buddhist monks and Buddhist groups and the staff of NGOs to share their knowledge with each other.
In Thailand, as in other Buddhist countries, cooperation between the Buddhist groups and the NGO staff is essential in promoting development. And what they must cooperate on is the creation of a sound civic society, which requires a comprehensive or holistic development in order to create. What I mean by “comprehensive or holisitic development” is not just economic development—social development must take place, as well as development concerning environmental issues, and it is even necessary that spiritual development be part of the overall process. In order for such comprehensive or holistic development to take place, it is necessary for both sides—Buddhist monks and groups and the staff of the NGOs—to meet in cooperation in order that they might supply each other with what the other side lacks. In terms of activities, it is necessary to make political and economic reforms in relation to the issues of poverty, human rights, and the environment. At the same time, what might be termed “spiritual development,” or “development in a spiritual sense,” must also take place.
The problem at present is the importance of resisting the rapidly proliferating consumerism, which can be said to be the common enemy of both the Buddhist groups and the NGOs. This is because at the basis consumerism creates a structure in which the poor are exploited, the environment is destroyed, and the spiritual peace of the people is thrown into confusion. Especially in the recent spread of globalization, consumerism has increasingly become more and more intense. Not only in Thailand, in many countries the number of poor is increasing, widening further the gap between the rich and the poor. And while the gap between the rich and the poor widens in a single country, the gap between rich and poor countries also grows ever greater. Within that context, it seems as though consumerism is just like the dominating religion. Within globalization, what is receiving special attention is the concept of free trade. The three slogans of globalization are often given as “liberalization of market” “the privatization of public enterprises,” and “the deregulation,” but while these aspects are being emphasized, the budgets for social welfare and various types of subsidies and funds to support the sick and the aged are being cut. The situation is such that the poor are now suffering more than in the past. And in the midst of that ever worsening suffering, it is important that the NGOs and Buddhist groups cooperate more fully than ever before to try to stop the situation from getting even worse. In order to do that, I feel that it is necessary for them to learn from each other, to create a new way of life and new sense of values that encompasses both the material and the spiritual aspects of life.
Through the cooperation between NGOs and Buddhists, the following four categories of activities can be done. The first is the protection of human rights, and engaging in the humanitarian activities in support of those who suffer. It is crucial to lend assistance to the poor, the elderly, orphans, and other needy people. That is not enough, however. What needs to be done is to to restructure the society in order to reduce the structural violence, i.e. exploitation and lack of social justice, which is the root cause of poverty and suffering. . This is the second category. As I mentioned earlier, although there has already been quite a lot of cooperation between NGOs and the development monks, still the situation is becoming ever worse. The third category is the creation of a new sense of values or spirituality as a countermeasure against consumerism. In particular, speaking as a Buddhist, I believe that there is a need to make it clear that Buddhism is not something that simply consists of performing rituals; rather, it is an active religion that teaches us about how we can achieve peace of mind and happiness. Finally, the fourth category is the activities of peacemaking. Today, there are many wars and conflicts going on around the world. Up until now, Buddhists have taken various opportunities to articulate the importance of peace, but in fact there are very few cases in which peacemaking and preventing wars were tackled in earnest by the Buddhists. I have heard that during the past few years, many Japanese have visited Palestine and worked there as peace workers, and, at times, even serving as human shields, and taking part in various activities. When I heard that news, I could not help but think “How many of them are Buddhist?” or “How deeply involved in such problems have Buddhist become?” From now on, I believe that Buddhists must become involved in the problem of peace much more seriously than ever before.
*******
Best way from http://www.visalo.org

Thursday, March 22, 2012

Walking the Path of Buddha-Dhamma

Dhamma for all.

Walking the Path of Buddha-Dhamma
 By Ajahn Chah


Naturally people who wish to reach their home are not those who merely sit and think of traveling. They must actually undertake the process of traveling step by step, and in the right direction as well, in order to finally reach home. If they take the wrong path they may eventually run into difficulties such as swamps or other obstacles which are hard to get around. Or they may run into dangerous situations in this wrong direction, thereby possibly never reaching home.
Those who reach home can relax and sleep comfortably - home is a place of comfort for body and mind. Now they have really reached home. But if the traveler only passed by the front of his home or only walked around it, he would not receive any benefit from having traveled all the way home.
In the same way, walking the path to reach the Buddha-Dhamma is something each one of us must do individually ourselves, for no one can do it for us. And we must travel along the proper path of morality, concentration and wisdom until we find the blessings of purity, radiance and peacefulness of mind that are the fruits of traveling the path.
However, if one only has knowledge of books and scriptures, sermons and suttas, that is, only knowledge of the map or plans for the journey, even in hundreds of lives one will never know purity, radiance and peacefulness of mind. Instead one will just waste time and never get to the real benefits of practice. Teachers are those who only point out the direction of the path. After listening to the teachers, whether or not we walk the path by practicing ourselves, and thereby reap the fruits of practice, is strictly up to each one of us.
Another way to look at it is to compare practice to a bottle of medicine a doctor leaves for his patient. On the bottle is written detailed instructions on how to take the medicine, but no matter how many hundred times the patient reads the directions, he is bound to die if that is all he does. He will gain no benefit from the medicine. And before he dies he may complain bitterly that the doctor wasn't any good, that the medicine didn't cure him! He will think that the doctor was a fake or that the medicine was worthless, yet he has only spent his time examining the bottle and reading the instructions. He hasn't followed the advice of the doctor and taken the medicine.
However, if the patient actually follows the doctor's advice and takes the medicine regularly as prescribed, he will recover. And if he is very ill, it will be necessary to take a lot of medicine, whereas if he is only mildly ill, only a little medicine will be needed to finally cure him. The fact that we must use a lot of medicine is a result of the severity of our illness. It's only natural and you can see it for yourself with careful consideration.
Doctors prescribe medicine to eliminate disease from the body. The teachings of the Buddha are prescribed to cure disease of the mind, to bring it back to its natural healthy state. So the Buddha can be considered to be a doctor who prescribes cures for the ills of the mind. He is, in fact, the greatest doctor in the world.
Mental ills are found in each one of us without exception. When you see these mental ills, does it not make sense to look to the Dhamma as support, as medicine to cure your ills? Traveling the path of the Buddha-Dhamma is not done with the body. You must travel with the mind to reach the benefits. We can divide these travelers into three groups:
First level: this is comprised of those who understand that they must practice themselves, and know how to do so. They take the Buddha, Dhamma and Sangha as their refuge and have resolved to practice diligently according to the teachings. These persons have discarded merely following customs and traditions, and instead use reason to examine for themselves the nature of the world. These are the group of ''Buddhist believers''.
Middle level: This group is comprised of those who have practiced until they have an unshakable faith in the teachings of the Buddha, the Dhamma and the Sangha. They also have penetrated to the understanding of the true nature of all compounded formations. These persons gradually reduce clinging and attachment. They do not hold onto things and their minds reach deep understanding of the Dhamma. Depending upon the degree of non-attachment and wisdom they are progressively known as stream-enterers, once-returners and non-returners, or simply, noble ones.
Highest level: This is the group of those whose practice has led them to the body, speech and mind of the Buddha. They are above the world, free of the world, and free of all attachment and clinging. They are known as arahants or free ones, the highest level of the noble ones. 
*******
Best way from  http://www.ajahnchah.org

Tuesday, March 20, 2012

Reaping what we sow Be prepared to be treated as you treat others .

Reaping what we sow
Be prepared to be treated as you treat others
  By PHRA PAISAL VISALO



After only three years, the marriage of Pornsak and Somsong was already on the rocks and they quarrelled all the time. That night, like every night, they went to bed angry at each other. Pornsak suddenly remembered that he must get up very early the next day. He wanted her to wake him up, but being conceited, would not speak to her first. So he wrote a note and gave it to her. The note read: ``Wake me up at 6 o'clock in the morning.''
The next day, he was woken up by the sound of the national anthem from a school nearby. He was angry at his wife and planned to explode at Somsong the minute he saw her.
When he reached for his glasses at the head of the bed, however, he saw a note on a piece of paper. It read: ``Wake up! Wake up! It's 6 o'clock!''
The story above shows we should be prepared to be treated the same way we treat others. Don't expect from others more than what we give them. If we want others to speak to us, we must speak to them first. If we want friendship from others, the place to start is ourselves. Whatever we do, it goes back to us. It's normal. Hence the old saying: we reap what we sow. It's how the law of karma works, isn't it? If we want to achieve anything, we have to put an effort in it. If we remain angels, don't ever hope to get help. To invest just one and to expect one hundred in return is like overcharging. In the same vein, if we want our children to be good and compassionate persons, we cannot neglect the children when they are young. We cannot just pamper them with money
or materials without giving them time, love and care. We also must be good role models for the kids. If we want quality children, then we also must be quality parents.
These days, we often hear complaints against the young generation that they are materialistic and slaves of fashion from Japan and the West. That there is nothing in their heads but to find concerts to scream their hearts out. Before we adults go on complaining, why don't we ask ourselves why the kids have become like that. Is it because of the environment we have created for them? Isn't the society which is obsessed with materialism and the blind following of foreign cultures the inheritance the kids receive from what their parents have created? If so, how could we expect the children to be any different?
The teachers who want their students to achieve must invest time and efforts in them _ as shown by the story below.Teacher Boonchoo must lecture his class on Mondays during this semester. Often he could not make it because of his moonlighting at a private company on the same day. He solved his problem by having his assistant take his recorded lectures to class so the students could listen to the tape.


One day, he happened to finish his meeting at the company early so he rushed to class. When he entered, he found an empty room. The recorded lecture was on. But there was not one student there. Only tens of tape recording machines on the student's desks at work, recording his recorded lecture. Action equals reaction. This is a universal law.
*******
Best way from  http://www.visalo.org

Thursday, March 15, 2012

Pure Joyful Work

Pure Joyful Work
By  Buddhadasa Bhikkhu


If you don't want to suffer, then work with an empty mind. Then work will be fun and the results will be excellent.
Details such as how one will work, for whom, what one will gain - all of these should not remain. When it's time to put our hands to work, we must think it through from the beginning and fix our intention with certainty. Just go to work with empty mind and don't wish for anything beyond the power of ones intelligence. Don't take on duties beyond ones own ability. Let ones ability develop first, then expand ones responsibilities appropriately. Nowadays we're careless and boastful, and dare to take on responsibilities beyond our capacity. And so we do superficial work relying more on window dressing than quality, deceitfully hiding behind politeness, with great damage resulting.
We must work with pure intention. The work has to be of value sufficient for our sacrifice. When we know this, then go to work. Even ordinary daily chores, although they're seldom paid, these too need to be done with an empty mind, otherwise one falls into hell, even with the little, everyday tasks. Even miscellaneous things, as well as the most important work of one's life - they all must be done with an empty mind.
So the most important question and challenge is simply to work with an empty mind, and then to expand on that by offering all the results to voidness and eating the food of voidness. These second and third lines of the verse merely explain the first line. If we understand the first line and can practice it, the second and third won't be any problem. And so we focused on the first line: to work with and empty mind. Once we can do that, then we'll understand what it is to offer the fruits of work to emptiness, and to eat the food of emptiness, which we'll discuss in more detail later.
If we observe, like I suggested earlier, to observe the difference between empty mind, and a mind that isn't empty of me and mine - once you've seen this for yourself it's easy. We can say that it's to work
mindfully and wisely, as opposed to working with defilement. If the mind is void and free, it works with wisdom. If mind is busy, it works with craving and defilement.
What we're talking about today has been discussed many times, has been memorized and repeated over and over again. Why is it that so few people benefit from it? Because people don't reach the level of "working mindfully with wisdom," which requires intelligence that is true and pure. But people hardly ever talk about this. There must be truth and purity within oneself, and the wisdom has to be the kind that is empty of me and mine, that is free of egoism. In other words, the intelligence and wisdom we refer to is that which naturally exists in a heart void of 'me' and 'mine.'
When 'me' and 'mine' arise in the mind, wisdom changes into something deceptive, clever, and cunning for the sake of 'me' and 'mine.' This is the kind of intelligence the world seeks and rewards: cunning for the sake of 'me' and 'mine,' which deceives and tricks continually. Our world doesn't respect pure and honest wisdom.
When we speak of wisdom, we need to stress that it is genuine wisdome - wisdom that is also pure. Don't take the wisdom of the market, which people claim to be wisdom, and claim that surviving is the supreme benefit - that's all they understand. That's a whole different kind of wisdom - it's the cleverness of craving, clinging, and selfishness.
Go look at the pillar with Avalikoteshvara on the top. There we've written the words 'suddhi' (purity), 'paññā' (wisdom), 'mettā' (loving kindness), and 'khanti' (patient endurance). Purity comes first, in that there's no deceit. Then the intelligence is honest and pure, the loving kindness is pure, and then our endurance won't be dreary and tiresome. The patience of wisdom does not require that we endure to the point that blood leaks out of our eyes, because purity is in the forefront.
The wisdom that seeks only to survive, is called worldly wisdom, and it serves craving and selfishness. It's more of a cunning than actual wisdom. In Pali, it's called cheko, and isn't properly called paññā (wisdom). What a shame that in Thai we use the same word — paññā — for both. Cunning is paññā and pure wisdom is paññā. No wonder people are confused!
Let me tell you one story about cheko, about "good" worldly intelligence. Somebody once told it to me and I found it so amusing that I've never forgotten it. A while ago, Phraya Rachatha, the lieutenant-governor of the Trang region, couldn't read Thai though he was able to write his name in Chinese and Thai. His intelligence was of the ordinary, worldly kind, which was good enough for the job. In fact, he did a good job — better than lieutenant-governors who could read Thai or were graduates of the Pali schools — and benefited people broadly.
Once, with a visitor present, his secretary brought in a telegram. Usually the secretary would read the telegrams to him, but with a visitor present that would be embarrassing. So he tore the telegram from his secretary's hand and made as if he would read it himself, though he couldn't. But he had it upside down and his foolish secretary pointed that out. So he whacked the stupid secretary over the head with a cigar box, saying "I can read it; even upside down, I can read it." Of course, it's possible to read something upside down. So that's a story of a government official with plenty of worldly wisdom but ended up making a fool of himself being careless and boastful beyond his abilities.
Another story concerns when they were building a road between Phattalung and Trang. The road had to pass through some mountains believed to be sacred and mysterious. The workers didn't dare to go into that forest and were afraid to drink the water there. So the lieutenant-governor urinated into the water saying, "I peed in the water, you can drink it now. There aren't any spirits here now, nothing that will break your necks." So the workers had to work, drink the water, whatever. The road was finished through the wisdom of an illiterate official. This kind of intelligence is frightening, too. It's the wisdom of 'me' and 'mine,' of a worldly sort relying on the better grade of craving and defilement. But it's a worldly thing and can't be used in Dhamma matters. It's cunning, cheko.
If I say "the empty mind is full of wisdom," it's a matter of truly knowing what it is to be one with nature. "Knowing" means mind is one with nature and thus knows nature. Our Thai language creates difficulties in amusing ways. So ponder this by yourselves; we'll need another word to refer to this kind of wisdom, not that you can depend on the Pali Commentaries.In the water pouring blessing that we recite every day, there are the words "cheko dhammattha kovido." Cheko has been applied incorrectly here. Properly, it refers to someone clever and tricky in the ways of the world; here, it's been applied to refer to a pure kind of wisdom, although it should be only about selfish matters. This is Pali that was composed in the modern era. In the same way that we Thais are used to using the word paññā in ordinary, or even degraded, ways such as referring to someone's kid who is a "clever thief."
If the mind is truly void there will be pure wisdom that is cleansed of 'me' and 'mine' and works wonderfully. Work is fun. It isn't even thought of as work anymore. Try this out in your everyday tasks whether they are pleasant or not, or whether they are tiresome chores. If you still think of it as work then the mind isn't empty. Watch this carefully, and try it again with an empty mind, so that you'll be someone who can do all kinds of work with an empty mind. At least be able to do it once in a while. Even if there are times when one's mood is busy, it's up to you. Or if you want to be busy for your own pleasure, you can do that on your own time. But don't do it when you've got real work to do, and it won't be a waste.
To have the fiery eye that sees all things as void, without any craving, clinging, or suffering, requires the knowledge that is wise enough to see even work as empty, so that it's no longer seen as work. Destroy all the meaning of the word 'work,' and it becomes enjoyable play. One will be at ease and comfortable in such work. The boss won't have any headaches, nor will your spouse. Your employees won't be stressed out, nor will the people who serve you in stores and restaurants.
This is the special meaning of the line I composed: One ought to do all kinds of work with an empty mind. Please reflect on this carefully, so that you have the special, secret kind of power like the hermit who can burn up all obstacles and foes with just a wink of the eye.
*******
The best way from http://www.suanmokkh.org/

Tuesday, March 13, 2012

Work Must Be Practice

Work Must Be Practice
  heart-mind empty
By  Buddhadasa Bhikkhu



Work is an important problem for most of us, because we work to live. We can say our life has value because of work. This makes it a most important issue. Consequently, I like to raise work as a crucial issue.
An important problem for people is the issue of work, because we work to live. We can say our life has value because of work. This makes it a most important issue for us. Consequently, I like to focus on work as a crucial issue. On the back covers of our "Looking Within" series, I asked the publishers to print a little verse that concerns our topic.
Do work of all kinds with a free heart, Offer the fruits of work to voidness, Eat the food of emptiness as the noble ones do, Die to one's self from the very beginning.
Some of the phrases in this little verse are rather simple and conventional, but I think you'll forgive me for that because it's meant to be intelligible to ordinary people.
Why is it that we intended to use such strong language, that makes it hard to ignore or forget, such as "as the noble ones do" and "die to one's self from the very beginning"? In the original Thai, the very start, are the ordinary language of villagers which Bangkok people probably don't understand. It was my intention to use this phrasing in order to insist that these are the words of the sticks, of the boondocks. They're spoken from the village. At a minimum, we're teaching a few new words for those who might be interested (and here I was using Southern dialect).
What do you think of these words? It's obvious that the meaning is for those of us who haven't ended all defilement. It's necessary to request or to impel them to work with empty heart. For those who are empty of defilement already, there's no need to request or implore them. They naturally work with anempty heart. So we're speaking to those who still experience defilement, advising them, or even forcing them, to do all kinds of work with an empty heart. Otherwise things will be atrocious.
The tricky part of this verse is the phrase 'free-empty heart.'2 This is something we've spoken of many times, and in great detail, so you can read about it on your own.3 What's most important, what you must understand completely, is that these words have their own special meaning. They are not the ordinary language of people who've never studied or reflected deeply on these matters. Consider it "Dhamma language" that requires special explanation.
The phrase 'empty heart' (or 'free mind') does not mean, in the way that many would assume, the kind of heart or mind that doesn't think at all, like the kind of person who lacks intelligence. If mind is empty in the sense of not thinking at all, it's not really any different than sleeping. In that case, one couldn't do anything useful. Further, there's the point of "faking" emptiness. If one fakes it, or just puts on a show, then it's what we call "delinquent" or "criminal emptiness." If one just fakes emptiness without understanding it and merely seeks some personal benefit, such as avoiding responsibility, we call it "criminal empty mind."
Here, there's a specifically Buddhist meaning that specifies heart-mind empty of all kinds of thoughts and feelings connected with any meaning of 'me' or 'mine.' Those thoughts and feelings which are concerned and connected with 'me' and 'mine' are extensive. These need to be observed, studied, and understood. If we don't know such things, we'll never understand emptiness. We ought to be industrious in trying to discriminate among the many thoughts and feelings that happen every day: which of them are empty — that is, empty of any sense of 'me' and 'mine' — and which are not empty. The easier, most practical way to put it is that any thinking and feeling that is mixed up with greed, hatred, and delusion, are neither free nor empty. If there's no admixture of greed, hatred, and delusion, then the heart is empty and free. Thinking that is empty has no selfish feeling, and is not about or for one's self. There is just pure, untainted awareness and intelligence, whether with or without thought
*******
The best way from http://www.suanmokkh.org/

Monday, March 12, 2012

The Way-Things-Are

The Way-Things-Are

BY AJAHN SUMANO BHIKKHU

Welcome Spiritual Friends,There is a path we can use to lead us towards Happiness right in this life as well as the next one. However, if we ignore the fact that this life of ours is like a candle burning down, the end of our life will catch us unprepared. We will die in fear and regret. With this kind of mind state rebirth is dangerous. We could be reborn as an animal or–a ghost. We could be reborn as a disabled or disfigured person, or as an orphan living in a desperately poor slum, or worse.
The key to our favorable rebirth is our mind. And the key to developing the kind of mind that will lead to a favorable rebirth hinges on our accumulating goodness, or “boon”. Our duty in this life is develop a positive, wisdom-based, selfless, and compassionate mind state. If you can get a sense of how this mind state can impact you in this very life, you can understand how all energies can follow us and intrude into your future…into your next life. The psychological and physical realms that predominate are certain to predominate later. For instance, if you that you allow yourself to be angry often, this anger will be an even more dominant trait In your next life. Or, similarly, if you cannot control hate here, you likely will emerge as an even more hate-filled person in your next life. With insight you can see that living this life haphazardly is a very dangerous entertainment that you will have to pay for later.

In my view, a view founded in Ancient Oriental psychology, perhaps the most crucial challenge facing everyone born on this planet is to die peacefully and to be reborn in a favorable abode. For if we are reborn as a human, in an environment which can nurture us spiritually, we can be certain to be living wisely and compassionately in this lifetime.
From the time we are born to the time we leave this body we have lessons to learn. If we haven’t learned them all, our karma requires us to learn or review our lessons. Our karmic residue will bring us back to a place where we can work towards resolving our karmic predicament. There is no escape from our karma. We are obliged to confront our karma, deal with it, and then go on to help others.

Living usefully in this life means also living well for the next life. We have all accumulated enough good karma to be born as a human being in this life. But being born as a human being is not enough. We need only look at much of Africa to recognize just how difficult life can be as a human being and how deep a hell realm one can be born into. There are a myriad of life-style situations in which the possibility of dramatic evolution is all but impossible.

If we look at our life from a big perspective we can see that we are actually the sum total of everything that has ever happened to us. But if the only thing we gather throughout our lives is bare experience, our lives would be folly, for experience for the sake of mere experience becomes a weight on our mind and deprives us of freshness. We need to look carefully at the events in our lives so that we triumphant over the trails and challenges that inevitably arise for each of us. This is a mature approach to life for it means we are capable of growing, changing, and moving beyond most of our unsupported beliefs and assumptions.
Of course we run into a lot of pain. But this is because we blindly run after immediate gratification. Looking for complete and lasting satisfaction from changing things is a sure recipe for distress.

It is clear to me that the last moments of this life are crucial and deciding. One doesn’t have to die to realize this with utter confidence. This accords with the many stories of people who have experienced a near death experience in which they saw themselves letting go of one’s life and moving through a transition realm toward the next one. This accords with the awareness and insight of meditators who recognize that the mental environment of ones mind at the time of our “small death”, i.e. sleeping, determines precisely where we will awaken into in the morning. This is known as linking-consciousness.
With the help of an array of spiritual friends, I have created this site and an accompanying holy tool kit that I can send to you to help you engineer your mind in a way that can provide you with the maximum opportunity to be re-born in a situation where you can help yourself and help others. The materials contained in this kit have never before been assembled together in order to maximize the spiritual synergy (a spiritual energy vortex) .The kit is designed to help turn your life towards your heart, to hasten your spiritual evolution, and to generate the conditions that will help you ensure a favorable future life. We hope this is of interest to you.

We very much hope this will be of interest to you. Kindly click below to learn more about the Way-Things-Are.
*******
The best way from http://monkinthemountain.wordpress.com

Tuesday, March 6, 2012

MAKHA BUCHA DAY

MAKHA BUCHA DAY


It was 9 full months after the Buddha got the Enlightenment, on the full moon day of 6th lunar month, 45 years before the Buddhist era. On the full moon day of the 3rd lunar month, Makha, of the year, 4 special events happened:
1. There were 1,250 Sangha followers, that came to see the Buddha that evening without any schedule.
2. All of them were "Arhantas', the Enlightened One, and all of them were ordained by the Buddha himself.
3. The Buddha gave those Arhantas the principles of the Buddhism, called "The Ovadhapatimokha". Those principles are: - To cease from all evil, - To do what is good, - To cleanse one's mind;
4. It was the full moon day.
Another important event, which happened on the same days (the full moon day of the 3rd lunar month) 44 years later, the last year of the Buddha's life, he decided to 'Parinibbhana', nirvana, leave the mind from the body or die. 3 months after that day (on the full moon day of the six lunar month -- we known as 'Visakha Bucha Day'). 

ACTIVITIES TO BE OBSERVED ON MAKHA BUCHA DAY
'TUM BOON': Making merit by going to temples for special observances, making merit, listening to Dhamma preaching, giving some donations and join in the other Buddhist activities.

'RUB SIL': Keeping the Five Precepts, including abstinence from alcoholic drinks and all kinds of immoral acts.

'TUK BARD': Offering food to the monks and novices (in the alm bowl).

Practice of renuciation: Observe the Eight Precepts, practice of meditation and mental discipline, stay in the temple, wearing white robes, for a number of days. 



'VIEN TIEN': Attending the Candle Light Procession around the Uposatha Hall, in the evening of the Vesak full moon day.

*******
The best way from  http://www.dhammathai.org
 

Thursday, March 1, 2012

Educating Compassion

Pohd Dhamma the best way for all to practice dhamma
 
Educating Compassion
by
Thanissaro Bhikkhu